วิธีการคำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน if ใน excel
คุณสามารถใช้สูตรต่อไปนี้เพื่อทำการคำนวณ IF ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานใน Excel:
วิธีที่ 1: ถ้าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (หนึ่งเกณฑ์)
=STDEV(IF( A:A ="Value", C:C ))
สูตรนี้จะคำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของค่าในคอลัมน์ C โดยที่ค่าในคอลัมน์ A เท่ากับ “ค่า”
วิธีที่ 2: ถ้าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (หลายเกณฑ์)
=STDEV(IF(( A:A ="Value1")*( B:B ="Value2"), C:C ,""))
สูตรนี้คำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของค่าในคอลัมน์ C โดยที่ค่าในคอลัมน์ A เท่ากับ “Value1” และค่าในคอลัมน์ B เท่ากับ “Value2”
ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงวิธีใช้แต่ละสูตรในทางปฏิบัติ
ตัวอย่างที่ 1: คำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน IF (เกณฑ์)
เราสามารถใช้สูตรต่อไปนี้เพื่อคำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของค่าในคอลัมน์ Points โดยที่ค่าในคอลัมน์ Team เท่ากับ “Mavs”:
=STDEV(IF( A:A ="Mavs", C:C ))
ภาพหน้าจอต่อไปนี้แสดงวิธีใช้สูตรนี้ในทางปฏิบัติ:

ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของ คะแนน สำหรับเส้นที่ ทีม เท่ากับ “Mavs” คือ 7.3326
ตัวอย่างที่ 2: คำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน IF (หลายเกณฑ์)
เราสามารถใช้สูตรต่อไปนี้เพื่อคำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของค่าในคอลัมน์ Points โดยที่ค่าในคอลัมน์ Team เท่ากับ “Mavs” และค่าในคอลัมน์ Position เท่ากับ “Guard”:
=STDEV(IF(( A:A ="Mavs")*( B:B ="Guard"), C:C ,""))
ภาพหน้าจอต่อไปนี้แสดงวิธีใช้สูตรนี้ในทางปฏิบัติ:

ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของ คะแนน สำหรับเส้นที่ ทีม เท่ากับ “Mavs” และ ตำแหน่ง เท่ากับ “Guard” คือ 5.5603
ที่เกี่ยวข้อง: STDEV.P กับ STDEV.S ใน Excel: อะไรคือความแตกต่าง?
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
บทช่วยสอนต่อไปนี้อธิบายวิธีการทำงานทั่วไปอื่นๆ ใน Excel:
วิธีการคำนวณสรุปตัวเลขห้าตัวใน Excel
วิธีการคำนวณค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานใน Excel
วิธีการคำนวณช่วงระหว่างควอไทล์ (IQR) ใน Excel